ความเป็นมาของภาควิชามนุษยศาสตร์

หลังจากการก่อตั้งคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๓ ภาควิชามนุษยศาสตร์ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.พินิจ รัตนกุล ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชาท่านแรก กระทั่งปัจจุบัน ภาควิชามนุษยศาสตร์มีหัวหน้าภาคทั้งหมด ๙ ท่าน ดังนี้

ลำดับ รายนามหัวหน้าภาควิชา ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
๑. รองศาสตราจารย์ ดร.พินิจ รัตนกุล ๒๕๑๗ - ๒๕๓๐
๒. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วริยา ชินวรรโณ ๒๕๓๑ - ๒๕๓๕
๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรรถจินดา ดีผดุง ๒๕๓๕ - ๒๕๓๙
๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พิเชฎฐ์ กาลามเกษตร์ ๒๕๔๐ - ๒๕๔๔
๕. รองศาสตราจารย์ ดร.สุภัทร ปัญญาทีป ๒๕๔๔ - ๒๕๔๖
๖. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิภาดา อังสุมาลิน ๒๕๔๖ - ๒๕๕๐
๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๗. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิรันดร์ พันทรกิจ ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘
๘. รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ สิงห์สุริยา ๒๕๕๘ – ๒๕๖๒
๒๕๖๒ – ๒๕๖๖
๙. อาจารย์ ดร.กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา ๒๕๖๖ - ปัจจุบัน

นอกจากภาควิชามนุษยศาสตร์จะมีภารกิจหลักในการสอนรายวิชาสำหรับนักศึกษาในระดับปริญญาบัณฑิตของคณะและสถาบันต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว ภาควิชามนุษยศาสตร์ยังได้จัดการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเปิดหลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบขึ้น ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัยในปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลักสูตรฯ ดังกล่าวถือเป็นการจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบแห่งแรกในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย และจัดเป็นความริเริ่มที่สำคัญท่ามกลางบริบทการจัดการศึกษาศาสนาแบบจารีตที่ใช้ศรัทธาเป็นตัวนำและมีเป้าหมายเพื่อสร้างศาสนิกและเผยแผ่ศาสนา ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช จึงได้ยกย่องว่า รองศาสตราจารย์ ดร.พินิจ รัตนกุล เป็น “ผู้นำด้านวิชาการศาสนาเปรียบเทียบของประเทศ”

นอกจากเพื่อแนะนำศาสนศึกษาผ่านสาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบเข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้ว เป้าหมายหลักของหลักสูตรฯ ยังเป็นไปเพื่อสร้างนักวิชาการที่มีความรู้และทักษะในการศึกษาศาสนาต่าง ๆ อย่างเป็นวิชาการ โดยอาศัยพื้นฐานจากสาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ ปรัชญา จิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา เป็นต้น อันจะช่วยให้สามารถศึกษาและทำความเข้าใจศาสนาได้อย่างหลากมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านคำสอนหรือปรากฏการณ์ อีกเป้าหมายเป็นไปเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาในสาขาวิชาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาชีพ เพื่อเสริมให้นักศึกษามีความรู้กว้างขวางไปกว่าด้านเทคนิควิชาชีพ สามารถนำความเข้าใจทางศาสนามาใช้ในการทำความเข้าใจตนเองและสังคม ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ได้มีการปรับชื่อหลักสูตรเป็นศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดชื่อปริญญา พ.ศ. ๒๕๓๙ ของทบวงมหาวิทยาลัย

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีการปรับปรุงเป็นหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนากับการพัฒนา พื้นฐานของการปรับปรุงมาจากแนวคิดที่ว่าในระยะเวลาที่ผ่านมา หลักสูตรฯ มีประสบการณ์อันยาวนานและเข้มแข็งในด้านการศึกษาและทำความเข้าใจศาสนาอย่างเป็นวิชาการ กอปรกับคณาจารย์ในหลักสูตรฯ มีบทบาทและผลงานในด้านที่รับใช้เป้าหมายทางสังคมโดยตรง เช่น ด้านความสมานฉันท์ระหว่างศาสนา การสานเสวนา สันติวิธี สิทธิสตรี และความยุติธรรมทางสังคม ดังนั้น จึงควรใช้สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการศึกษาและสร้างผลงานทางวิชาการในมิติที่มุ่งสู่การพัฒนาโดยตรง พร้อมกันนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาศาสนากับการพัฒนา ได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ

สาขาวิชาศาสนากับการพัฒนามีเป้าหมายในการสร้างนักวิชาการที่มีความรู้และทักษะในการศึกษาบทบาทที่มิติต่าง ๆ ของศาสนามีหรือสามารถมีได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการศึกษาเพื่อสนับสนุนองค์การและชุมชนทางศาสนาในการทำงานด้านการพัฒนา สาขาวิชาดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งยวดในปัจจุบัน ดังเห็นได้จากการที่องค์การสหประชาชาติ (The United Nation หรือ UN) ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อดึงพลังของศาสนามาสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน เรียกว่า คณะทำงานเฉพาะกิจแห่งสหประชาชาติด้านศาสนากับการพัฒนา (UN Task Force on Religion and Development) หรือ คณะทำงานเฉพาะกิจระหว่างองค์กรแห่งสหประชาชาติด้านการสร้างความมีส่วนร่วมกับผู้ปฏิบัติการที่เป็นศาสนิกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (United Nations Inter-Agency Task Force on Engaging Faith-Based Actors for Sustainable Development หรือ UN IATF-FBOs)

นอกจากนี้ ภาควิชามนุษยศาสตร์ยังได้เปิดหลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษาขึ้น ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัยในปี พ.ศ.๒๕๓๔ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ปรับชื่อเป็นหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดชื่อปริญญา พ.ศ. ๒๕๓๙ ของทบวงมหาวิทยาลัย และต่อมาได้ปรับเป็นหลักสูตรภาคพิเศษในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากนั้นในปี พ.ศ.๒๕๕๘ ได้ปรับเป็นหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษาเพื่อการพัฒนาองค์การ พร้อมกับเปิดหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษาเพื่อการพัฒนาองค์การ โดยทั้งสองเป็นหลักสูตรภาคพิเศษ

ก่อนที่จะเปิดหลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษานั้น สาขาวิชาจริยศาสตร์มีความเป็นมาแต่เริ่มแรกที่สำคัญประการหนึ่งจากดำริของอาจารย์ในสาขาแพทยศาสตร์ เช่น ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ณัฐ ภมรประวัติ และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ประเวศ วะสี ที่เล็งเห็นความสำคัญของจริยธรรมและคุณธรรมในแพทย์และพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการจัดการศึกษาด้านการแพทย์ การพยาบาล และระบบการดูแลสุขภาพที่ใช้ประเทศตะวันตกเป็นแม่แบบ ดังนั้น จึงมีการจัดการเรียนการสอนรายวิชาด้านชีวเวชจริยศาสตร์ (biomedical ethics) ให้แก่นักศึกษาในสาขาแพทยศาสตร์และพยาบาลศาสตร์ เช่น รายวิชาปรัชญาชีวิต (Philosophy of Life) โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.พินิจ รัตนกุล เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ

นอกจากพัฒนาการด้านจริยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมหิดล จะมาจากการทำงานร่วมกันกับแพทยศาสตร์และพยาบาลศาสตร์ ณ ศิริราชและรามาธิบดีแล้ว ต่อมายังได้รับการผลักดันผ่านความร่วมมือกับสถาบันสาธารณสุขอาเซียนและสถาบันภาษาและวัฒนธรรมเพื่อก่อตั้งศูนย์การวิจัยชีวจริยศาสตร์ (Center for Bioethics Research) โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.พินิจ รัตนกุล เป็นผู้อำนวยการ ภายหลังเมื่อสาขาวิชาด้านจริยศาสตร์ได้พัฒนากลายเป็นหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาในภาควิชามนุษยศาสตร์ มีการเพิ่มเติมเนื้อหานอกเหนือไปจากชีวจริยศาสตร์ โดยครอบคลุมถึงการศึกษาจริยธรรมในวิชาชีพอื่น ๆ และจริยธรรมในสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย และในที่สุดมีเมื่อมีการปรับหลักสูตรครั้งล่าสุด ได้มีการแยกออกไปจากสาขาวิชาชีวจริยศาสตร์ กลายเป็นจริยศาสตร์ศึกษาเพื่อการพัฒนาองค์การ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำความรู้และทักษะด้านจริยศาสตร์มาสนับสนุนการทำงานด้านการพัฒนาองค์การ

ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ ภาควิชามนุษยศาสตร์ได้เปิดหลักสูตรนานาชาติขึ้นเป็นหลักสูตรแรก ได้แก่ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา โดยต่อมาใน ปี พ.ศ.๒๕๖๒ ได้มีการปรับชื่อหลักสูตรเป็นปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาคัมภีร์พุทธศาสนศึกษา (Buddhist Textual Studies) หลักสูตรดังกล่าวมีเอกลักษณ์สำคัญอยู่ที่จุดเน้นในการศึกษาพระพุทธศาสนาผ่านแนวทางที่ใช้คัมภีร์เป็นพื้นฐาน (text-based approach) อันเป็นแนวทางที่ต้องอาศัยความรู้และทักษะทางด้านภาษาโบราณที่ใช้บันทึกคัมภีร์ เช่น บาลี สันสกฤต ภาษาจีนและทิเบตโบราณ ควบคู่ไปกับความรู้ด้านนิรุกติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และ พุทธปรัชญา และเช่นเดียวกับการเปิดสาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบในครั้งก่อน กล่าวได้ว่าหลักสูตรนี้ถือจัดเป็นความริเริ่มที่สำคัญ เนื่องจากมีความแตกต่างจากการเรียนการสอนด้านพระพุทธศาสนาในสถาบันระดับอุดมศึกษาหลายแห่ง ที่โดยหลักแล้วมีลักษณะแบบจารีตที่มุ่งสร้างศรัทธาและเผยแผ่ศาสนา พร้อมไปกับการนำคำสอนไปประยุกต์ใช้โดยอ้างความรู้จากสาขาวิชาจิตวิทยา สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และการบริหารจัดการ เป็นต้น

การใช้แนวทางที่ใช้คัมภีร์เป็นพื้นฐานเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาเช่นนี้ นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ในบริบทของประเทศไทยที่อุดมไปด้วยคัมภีร์และจารึกด้านพระพุทธศาสนาที่รอการรวบรวม ศึกษาค้นคว้า ชำระและอนุรักษ์ อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อผู้มีความสนใจศึกษาต่อจากประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความมุ่งหวังที่จะศึกษา อนุรักษ์และสืบทอดคัมภีร์และจารึกทางด้านพระพุทธศาสนาในประเทศของตนเองเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้แนวทางที่ใช้คัมภีร์เป็นพื้นฐานเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนายังมีพื้นฐานที่เข้มแข็งสำหรับพัฒนาตนเพื่อทำงานทางวิชาการในสาขาอื่น ๆ ต่อไปได้ เช่น ศาสนาเปรียบเทียบ ประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และ พิพิธภัณฑศาสตร์

ความเป็นมาของหลักสูตรศาสนาและจริยศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ภาควิชามนุษยศาสตร์มีการร่วมกันพิจารณาเพื่อพัฒนาปรับปรุงครั้งสำคัญ เพื่อให้สอดรับกับความจำเป็นของสังคม และนโยบายของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมถึงบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ผลของการพิจารณาดังกล่าวนำสู่การควบรวมหลักสูตรต่าง ๆ มาอยู่ภายใต้หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตและหลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนากับการพัฒนา ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตและหลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาและจริยศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (หลักสูตรภาคพิเศษ) หลักสูตรดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อร่วมผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัยความรู้ด้านศาสนาและจริยศาสตร์


เรียบเรียงโดย ปกรณ์ สิงห์สุริยา




ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยมหิดล, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๘๗ ตอนที่ ๓ (๑๓ มกราคม ๒๕๑๓): ๓๖.
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยมหิดล, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๑ ตอนที่ ๓๗(๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๑๗): ๕๕.
วิจารณ์ พานิช, “คนดีวันละคน: (32) รศ. ดร. พินิจ รัตนกุล,” Go to Know, นำข้อมูลขึ้นเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๐, https://www.gotoknow.org/posts/78954 (สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒).
Trevor O. Ling, The Study of Religion in Universities of Southern Asia. Religion 5, suppl. 1 (1975): 16-17.
UNFPA, on behalf of the UN Inter-Agency Task Force on Engaging Faith-Based Actors for Sustainable Development, Engaging Religion and Faith-based Actors (New York: UNFPA, 2016), 1. https://jliflc.com/resources/un-iatf-fbos-2016/ (accessed November 17, 2019).
Violette Lindbeck, Buddhism Meets the Western Model. Hastings Center Report 14, no. 6 (1984): 24 – 25.
Lindbeck, Buddhism Meets the Western Model, 25.